NER ปิดจองซื้อหุ้นกู้ มูลค่า 2,814.30 ล้านบาทตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน มั่นใจปี 2565 เติบโตอย่างต่อเนื่อง
บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER ปลื้มได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ในการออกหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2565 จำนวน 2 ชุด มูลค่าเสนอขายจำนวน 2,814.30 ล้านบาท ถือเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และแผนการขยายธุรกิจที่ชัดเจน มั่นใจปี 2565 บริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องพร้อมพัฒนาสินค้าปลายน้ำเนื่องจากเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่า บริษัท ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ ในการเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2565 จำนวน 2 ชุด รวมมูลค่าไม่เกิน 2,000 ล้านบาท หลังจากที่เปิดเสนอขายระหว่างวันที่ 5-7 กันยายนที่ผ่านมา ปรากฎว่ามีผู้จองซื้อหุ้นกู้มากกว่าจำนวนที่เสนอขายมูลค่า 2,000 ล้านบาทบริษัทจึงนำหุ้นกู้สำรองมาเสนอขายเพิ่มเติมอีก 814.30 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าการออกหุ้นกู้ทั้งสิ้น2,814.30 ล้านบาท
ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2565 ของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 ชุด คือ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.65% ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2570 จำนวน 1,161.50 ล้านบาท และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 6.40% ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2572 จำนวน 1,652.80 ล้านบาทโดยหุ้นกู้ทั้ง 2 ชุด จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนที่มีต่อฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของ NER ที่ยังคงสามารถเติบโตได้ ทั้งนี้เป็นผลมาจากแผนการขยายธุรกิจที่มีความต่อเนื่องและชัดเจน ความมุ่งมั่นในการบริหารงาน ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการบริหารจัดการฐานะทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการซื้อวัตถุดิบและ/หรือสต๊อกสินค้าคงเหลือของบริษัท ซึ่งจะทำให้บริษัทจะมีแหล่งเงินทุนที่จะใช้ในการดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับเครดิตขององค์กรอยู่ที่ระดับ “BBB-” แนวโน้มอันดับเครดิต“Stable” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2565 โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ
นายชูวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2565 บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาทจากราคายางพาราที่ปรับขึ้น นอกจากนี้ยอดส่งออกสินค้ามีความคล่องตัวดีขึ้น จากสถานการณ์ตู้คอนเทนเนอร์ที่ดีขึ้น ประกอบกับมีปริมาณออเดอร์ใหม่ๆเพิ่มขึ้น จากลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น อาทิ อินเดีย,ฮ่องกง, สิงคโปร์ และจีน เป็นต้น ด้านแผ่นปูรองปศุสัตว์ปัจจุบันได้ติดตั้งเครื่องจักรและเริ่มการผลิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้แก่บริษัท เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงโดยมองว่าความต้องการแผ่นปูรองนอนปศุสัตว์ในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่อง นอกจากนี้ปลายปี 2566 คาดว่าจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยอยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้า ซึ่งจะทำให้ยอดขายสินค้าปลายน้ำเติบโตมากขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้ ทั้งนี้ บริษัทฯจะมุ่งมั่นดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ควบคู่กับการบริหารงานเชิงรุก เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป”